เผยแพร่แล้ว: มี.ค. 25, 2019
 
   
 
  คำสำคัญ:
  สื่อแผ่นพับ
  การตรวจฟันด้วยตนเอง
  ทดสอบประสิทธิภาพสื่อ
 
   
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

 
   
 
 
 
    Language
 
      English  
      ภาษาไทย  
 
 
    Information
 
      สำหรับผู้อ่าน  
      สำหรับผู้แต่ง  
      สำหรับบรรณารักษ์  
 
 
    Home ThaiJo
 
   
 
 
 
    Manual
 
      For Author  
      For Reviewer  
 
 
    เว็บไซต์
 
      โรงพยาบาล
    เจริญกรุงประชารักษ
 
      www.ckphosp.go.th  
 
 

 

 
     
 
 
     
     
 

การพัฒนาและทดสอบสื่อแผ่นพับเรื่องการตรวจโรคฟันผุและเหงือกอักเสบด้วยตนเอง
ในนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย

 
     
     
 
อาวีพรรณ โกวิทย์สมบูรณ์
ภาควิชาทันตกรรมสำหรับเด็ก คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น ปทุมธานี


บทคัดย่อ

บทนำ: ปัญหาเรื่องโรคฟันผุและสภาวะเหงือกอักเสบในกลุ่มเด็กประถมศึกษามีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วโรคในช่องปากอีกทั้งสภาวะฟันผุและเหงือกอักเสบเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ โดยการตรวจฟันด้วยตนเองอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นพฤติกรรมอนามัยเบื้องต้นที่มีกระบวนการไม่ยุ่งยาก และเป็นวิธีที่ช่วยในการส่งเสริมสภาวะทันตสุขภาพของนักเรียนได้


วัตถุประสงค์: เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของแผ่นพับเรื่องโรคฟันผุ เหงือกอักเสบ และการดูแลสุขอนามัยช่องปาก สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โดยเปรียบเทียบจากคะแนนการทำแบบทดสอบก่อนและหลังการใช้สื่อ


วิธีดำเนินการวิจัย: การวิจัยนี้ทำการศึกษาในนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทั้งหมด 97 คน โดยใช้สื่อแผ่นพับเรื่องการตรวจฟันผุและโรคเหงือกอักเสบด้วยตนเอง และแบบทดสอบความรู้ก่อนและหลังการใช้สื่อ จากนั้นนำข้อมูลที่ได้ไปสรุปและวิเคราะห์ทางสถิติ


ผลการวิจัย: เปรียบเทียบจากคะแนนการทำแบบทดสอบก่อนและหลังการใช้สื่อพบว่า คะแนนทดสอบหลังการใช้สื่อสูงกว่าก่อนการใช้สื่อ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 0.05


สรุปผลการวิจัย: สื่อแผ่นพับที่พัฒนาขึ้นเป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย กล่าวคือ สามารถทำให้นักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p < 0.05)


คำสำคัญ: สื่อแผ่นพับ การตรวจฟันด้วยตนเอง ทดสอบประสิทธิภาพสื่อ


บทนำ: ปัญหาเรื่องโรคฟันผุและสภาวะเหงือกอักเสบในกลุ่มเด็กประถมศึกษามีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วโรคในช่องปากอีกทั้งสภาวะฟันผุและเหงือกอักเสบเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ โดยการตรวจฟันด้วยตนเองอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นพฤติกรรมอนามัยเบื้องต้นที่มีกระบวนการไม่ยุ่งยาก และเป็นวิธีที่ช่วยในการส่งเสริมสภาวะทันตสุขภาพของนักเรียนได้


วัตถุประสงค์: เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของแผ่นพับเรื่องโรคฟันผุ เหงือกอักเสบ และการดูแลสุขอนามัยช่องปาก สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โดยเปรียบเทียบจากคะแนนการทำแบบทดสอบก่อนและหลังการใช้สื่อ


วิธีดำเนินการวิจัย: การวิจัยนี้ทำการศึกษาในนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทั้งหมด 97 คน โดยใช้สื่อแผ่นพับเรื่องการตรวจฟันผุและโรคเหงือกอักเสบด้วยตนเอง และแบบทดสอบความรู้ก่อนและหลังการใช้สื่อ จากนั้นนำข้อมูลที่ได้ไปสรุปและวิเคราะห์ทางสถิติ


ผลการวิจัย: เปรียบเทียบจากคะแนนการทำแบบทดสอบก่อนและหลังการใช้สื่อพบว่า คะแนนทดสอบหลังการใช้สื่อสูงกว่าก่อนการใช้สื่อ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 0.05


สรุปผลการวิจัย: สื่อแผ่นพับที่พัฒนาขึ้นเป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย กล่าวคือ สามารถทำให้นักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p < 0.05)


คำสำคัญ: สื่อแผ่นพับ การตรวจฟันด้วยตนเอง ทดสอบประสิทธิภาพสื่อ

 
     
     
     
 
   ฉบับ  

    ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 (2018): มกราคม - มิถุนายน 2561

 
 
     
     
 
   บทความ  
    Original Article  
 
     
     
     
 

References

1. Wade DT, Halligan PW. Do biomedical models of illness make for good healthcare systems?
BMJ 2004; 329:1398-401.

2. กรมอนามัย. กองทันตสาธารณสุข. ผลการสำรวจสภาวะทันตสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5 ปี 2543-
2544. กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข; 2545.

3. ศรีสุดา ลีละศิธร, ปิยะดา ประเสริฐสม, อังศนา ฤทธิ์อยู่, ขนิษฐ์ รัตนรังสิมา. สภาวะโรคฟันผุ
ของประชาชนไทยและปัจจัยที่เกี่ยวข้องระหว่าง พ.ศ.2526-2540. วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์.
2544; 6(2): 8-24.

4. วารีวรรณ ศิริวาณิชย์. พัฒนาการของแนวคิด นโยบาย ยุทธศาสตร์ และการปฏิบัติการสร้างเสริม
สุขภาพ. สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข; 2549.

5. บุญเอื้อ ยงวานิชากร, ดาวเรือง แก้วขันตี, วราภรณ์ จิระพงษา, ผุสดี จันทร์บาง. สถานการณ์การ
ดูแลสุขภาพช่องปากและการใช้บริการทันตกรรมของประชาชน. วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์.
2544; 6(2): 105-18.

6. Nutbeam D, Aar L, Catford J. Understanding childrens’ health behavior: the implications for
health promotion for young people. Soc Sci Med.1989; 29(3): 317-25.

7. Cinar AB, Kosku N, Sandalli N, Murtomaa H. Individual and maternal determinants of self-
reported dental health among Turkish school children aged 10-12 years. Community Dental
Health.2008; 25: 84-8.

8. Helen V, Kirsty B, Jeanette M, Fiona A, Anthony S. A Cluster Randomized Controlled Trial of
a Dental Health Education Program for 10-year-old Children. Journal of Public Health
Dentistry. 2001; 61(1): 22-7.

9. Choo A, Delac DM, Messer LB. Oral hygiene measures and promotion: Review and
considerations.Aust Dent J. 2001; 46(3): 166-73.

10. กิดานันท์ มลิทอง: เทคโนโลยีและการสื่อสารเพื่อการศึกษา. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์อรุณ
การพิมพ์. 2548; 123-30.

11. สุพรรณี ศรีวิริยกุล, พวงทอง เล็กเฟื่องฟู. การประเมินคู่มือการดูแลทันตสุขภาพด้วยตนเอง.
รายงานการวิจัย กองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข; 2538.

12. Sawyer-Morse MK, Evans A.Understanding Human Motivation. Primary Preventative
Dentistry. 6thed. London: Prentice Hall. 2003; 449-66.

13. ธีรวุฒิ เอกะกุล. ระเบียบวิธีวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 2.
อุบลราชธานี:วิทยาการพิมพ์. 2544; 23-35.

14. Sgan-Cohen HD, HorevT,Zusman SP,Katz J, Eldad A. The prevalence and treatment of dental
caries among Israeli permanent force military personnel.Mil.Med.1999;164: 562-5.

15. Frazier PJ. School-based instruction for improving oral health: closing the knowledge gap. Int
Dent J.1980; 30(3): 257-68.